ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ [2]
ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ รักษาอย่างไร
การดูแลขั้นพื้นฐาน
อันดับแรกเลย ก็คือ การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่ออกกำลังกายให้มากขึ้น ปรับเปลี่ยนอาหารเป็นอาหารสุขภาพ หรือ Mediterranean Diet โดยเน้นอาหารจำพวกผัก ผลไม้ หยุดสูบบุหรี่ หยุดแอลกอฮอล์ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไขมันคอเลสเตอรอลต่าง ๆ ให้ดี บวกกับการทบทวนยาที่ใช้อยู่ เพราะว่ามียาบางชนิดมีผลข้างเคียงให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้
การรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศแบบมาตรฐานทั่วไป
การรักษาแบบที่ทำกันทั่วไปนั้น เป็นการรักษาตามอาการเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่ใช่การแก้ไขแบบถาวรที่ต้นเหตุ โดยการรักษาจะประกอบด้วยแนวทางดังต่อไปนี้
วิธีที่ 1 ให้รับประทานยาในกลุ่ม Phosphodiesterase-5 (PDE5) Inhibitors
โดยใช้หลักการที่จะทำให้เส้นเลือดที่อวัยวะเพศมีการขยายตัว มีเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น จึงทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับสารบางอย่าง ตัวที่เป็นพระเอกคือสาร cGMP หรือ Cyclic Guanosine Monophosphate ซึ่งสารนี้จะเป็นสารสำคัญที่ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด สารตัวนี้จะถูกกระตุ้นโดย Nitric Oxide อีกทีหนึ่ง แต่โดยธรรมชาติที่มีการควบคุมคือ เมื่อมีการสร้าง ก็มีการสลายตัว โดยสารที่จะไปสลาย cGMP ตามธรรมชาติ คือ เอนไซม์ Phosphodiesterase-5 (PDE5) นั่นเอง ด้วยความรู้อันนี้จึงมีการพยายามผลิตยาที่ไปยับยั้งเอนไซม์ PDE5 เพื่อทำให้สาร cGMP อยู่ได้นาน ๆ นั่นก็คือจะทำให้การแข็งตัวของอวัยวะเพศอยู่ได้นานนั่นเอง [1]
ยาชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันดีในการใช้รักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศโดยมีอยู่หลายยี่ห้อ เช่น Sildenafil หรือ ไวอากร้า , Vardenafil หรือ Levitra , Tadalafil หรือ Cialis® ยาเหล่านี้ล้วนแต่ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งเอนไซม์ PDE5 ทั้งสิ้น
วิธีที่ 2 การใช้กระบอกสุญญากาศ ในกลุ่มคนที่ไม่ตอบสนองต่อยากลุ่มแรก หรือมีข้อห้ามใช้ยา การใช้กระบอกสุญญากาศก็เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยแล้วก็ได้ผล แต่ก็มีข้อเสียคือ การแข็งตัวของอวัยวะเพศจะอยู่ได้ไม่นาน ซึ่งจะมีผลต่อเรื่องการหลั่งอีกด้วย [14] แม้ว่าประสิทธิภาพของเครื่องมือนี้จะได้ผลดี 70-80% แต่ในการใช้งานจริง ความพึงพอใจกลับต่ำ [15-16]
วิธีที่ 3 คือที่ใช้ยาสอดเข้าไปทางท่อปัสสาวะ โดยยาสอดจะมีขนาดเล็กใกล้เคียงกับเมล็ดข้าวสาร โดยคนไข้จะต้องปัสสาวะทิ้งก่อน แล้วก็เอาปลายของเครื่องมือสอดเข้าไปในท่อปัสสาวะ จากนั้นก็ดันเม็ดยาสอดเข้าไป ยาสอดจะมีตัวยาที่เรียกว่า Prostaglandin E1 อยู่ จากนั้นตัวยาก็จะละลาย และถูกดูดซึมไปยังกล้ามเนื้อของอวัยวะเพศ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ยังผลให้เกิดการแข็งตัวของอวัยวะเพศ ประสิทธิภาพของยาประเภทนี้อยู่ราว ๆ 50-65% [17-18]
ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ได้แก่ อาการแสบร้อนที่บริเวณท่อปัสสาวะ รวมไปถึงประสิทธิภาพที่ไม่ค่อยแน่นอน จึงทำให้ความนิยมในการใช้ยาประเภทนี้ไม่มากนัก รวมถึงราคายาที่แพง
วิธีที่ 4 การใช้ยาฉีดเข้าที่อวัยวะเพศ วิธีนี้มักเป็นตัวเลือกที่นิยมใช้ในกรณีที่การรับประทานยากลุ่ม PDE-5 inhibitor ไม่ได้ผล [19] โดยยาที่ฉีดเข้าไปก็จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณอวัยวะเพศคลายตัว มีหลอดเลือดขยายตัวแล้วก็เกิดการแข็งตัวขึ้น ยาที่ใช้ฉีดก็มีหลายอย่าง เช่น Papaverine , Prostaglandin E1 หรือ Alprostadil , Phentolamine และ Atropine [20-22]
สำหรับผลข้างเคียงของวิธีการนี้ก็คืออาการปวด การแข็งตัวของอวัยวะเพศนานเกินปกติ มีเลือดออกหรือมีรอยช้ำบริเวณที่ฉีด รวมถึงการเกิดแผลเป็น สิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องเน้นย้ำคือ ผู้ป่วยไม่ควรเพิ่มขนาดยาฉีดด้วยตัวเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ หรือใช้ยาฉีดร่วมกับยารักษาอื่น ๆ อย่างเช่น รับประทานยากลุ่ม PDE5 inhibitor ร่วมด้วย
วิธีที่ 5 การใช้ Shock Wave หรือการรักษาด้วยคลื่นเสียง
การบำบัดด้วย Shock Wave ความถี่ต่ำ มีรายงานว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาคนไข้ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งไม่ตอบสนองต่อยาที่รับประทาน กลุ่ม PDE5 inhibitor [26-29]
โดยเชื่อว่าน่าจะเกิดจากการช่วยให้ระบบไหลเวียนที่อวัยวะเพศดีขึ้น ทำให้เซลล์เยื่อบุหลอดเลือดเจริญขึ้น แล้วก็กระตุ้น Stem Cell ที่อวัยวะเพศ [30]
ในยุคเริ่มต้นราวปี 2012 มีงานวิจัยเรื่องการใช้ Shock Wave รักษาภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ พบว่าได้ผลดีในกลุ่มคนที่เคยตอบสนองต่อยา PDE5 inhibitor มาก่อน และไม่มีปัญหาเรื่องผลข้างเคียง [31]
มีอีกงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งซึ่งทำในคนไข้ 29 ราย ซึ่งดื้อต่อการใช้ยารับประทาน PDE5 inhibitor พบว่าการรักษาด้วย Shock Wave ได้ผลดี [32]
วิธีที่ 6 คือการผ่าตัดเสริมอวัยวะเพศ วิธีนี้จะใช้เมื่อวิธีการอื่น ๆ ไม่ได้ผล วิธีการนี้คือการผ่าตัดใส่อุปกรณ์เข้าไปที่บริเวณอวัยวะเพศ โดยจะมี 2 แบบ แบบที่บังคับให้พับงอได้และตั้งแข็งตัวได้ กับแบบที่สูบลมให้ขยายใหญ่ขึ้น แต่ผลข้างเคียงของการใช้อุปกรณ์แบบนี้คือ มีโอกาสเกิดการถลอก การรั่วซึม การติดเชื้อ หรืออุปกรณ์เสียหายได้ [34]
การรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ แบบทางเลือก
การรักษาที่กล่าวมาแล้วโดยเฉพาะการใช้ยารับประทานซึ่งเป็นยาเคมี บางครั้งก็เจอกับเรื่องของผลข้างเคียงหรือมีข้อห้ามไม่สามารถใช้ได้ จึงมีทางเลือกคือ การใช้สารอาหารเป็นตัวเลือกแทนการใช้ยาเคมี ซึ่งก็จะมีอยู่ประมาณ 3 รายการดังต่อไปนี้ [35]
- Yohimbine เป็นสารที่สกัดมาจากเปลือกไม้ของต้น Yohimbine ซึ่งเป็นตัวที่ใช้กันมากที่สุดก่อนที่จะเริ่มมีการใช้ยาในกลุ่ม PDE-5 inhibitor เคยมีงานวิจัยเปรียบเทียบผลการใช้ Yohimbine เทียบกับยาหลอกในการรักษาอาการอวัยวะเพศไม่แข็งตัวก็พบว่าได้ผลดี [36]
- Arginine เป็นกรดอะมิโนหรือโปรตีนหน่วยย่อยชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อเข้าไปสู่ร่างกายแล้วจะถูกเปลี่ยนเป็น Nitric Oxide อันมีผลให้หลอดเลือดขยายตัวได้ เคยมีการทำวิจัยเปรียบเทียบกับยาหลอกในยุโรป พบว่า Arginine สามารถทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดีกว่ายาหลอก โดยทำการวิจัยในผู้ชาย 124 คน อายุระหว่าง 30-50 ปี ซึ่งมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในระดับปานกลาง [38] ซึ่งได้ผลดีกว่ายาในกลุ่ม PDE5 เสียอีก
- โสม มีการรีวิวข้อมูลจากงานวิจัยที่เป็น RCT 7 ชิ้น ทำในคนไข้ 349 คน พบว่า ได้ผล แต่เนื่องจากจำนวนคนไข้ที่ทดสอบและวิธีการในการวัดผลยังไม่ดีพอ จึงยังไม่สามารถสรุปผลได้แน่ชัด [39]
การรักษาด้วย Stem Cell
จนถึงปัจจุบันนี้การรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศส่วนใหญ่ ยังเป็นการรักษาตามอาการ ยังไม่ใช่วิธีการรักษาแบบหายขาด หรือเป็นการฟื้นฟูอย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังพบปัญหาการดื้อยาในกลุ่ม PDE-5 inhibitors ในราว ๆ 20 % สำหรับคนที่ไม่มีโรคประจำตัว แต่หากพบว่ามีเบาหวาน หรือเคยผ่าตัดต่อมลูกหมากมาก่อน โอกาสการดื้อยาจะเพิ่มเป็น 40 % [40]
จึงมีความพยายามที่จะหาวิธีการอื่น ๆ ช่วย เช่น การใช้ยาฉีดเข้าไปที่บริเวณอวัยวะเพศ การใช้กระบอกสุญญากาศ หรือแม้แต่การผ่าตัดเสริมอวัยวะเพศ ซึ่งการรักษาเหล่านี้ก็มีข้อจำกัดเนื่องจากค่าใช้จ่ายที่สูง มีผลข้างเคียงมากบ้าง มีอาการปวดบ้าง หรือได้ผลไม่เป็นที่พอใจบ้าง [41]
ดังนั้นจึงมีความต้องการที่จะพยายามหาวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และได้ผลแบบหายขาดสำหรับคนที่มีปัญหาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ทำให้วงการแพทย์หันมาสนใจการใช้ Stem Cell [42]
Stem Cell เป็นเซลล์มีความสามารถในการสร้างตัวเองใหม่หรือพัฒนาไปเป็นเซลล์พิเศษต่าง ๆ ได้ [43-44]
โดยเชื่อกันว่า Stem Cell สามารถหลั่งสารบางอย่างออกมา ไปกระตุ้นให้เนื้อเยื่อนั้น ๆ มีการซ่อมหรือการฟื้นฟูตัวเองเกิดขึ้น ทำให้สามารถรักษาเนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่มีความเสียหายได้
มีงานวิจัยอยู่หลายชิ้นเกี่ยวกับการใช้ Stem Cell ในการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งปรากฏว่าได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ [46-55] โดยงานวิจัยทั้งหมดนี้เป็นการใช้ Stem Cell ฉีดเข้าไปที่บริเวณอวัยวะเพศ [56]
งานวิจัยชิ้นแรกตีพิมพ์เมื่อปี 2010 โดยทีมวิจัยจากเกาหลี งานวิจัยนี้ใช้ Stem Cell จากสายสะดือจำนวน 10 ล้านเซลล์ ฉีดเข้าไปที่อวัยวะเพศ โดยทำการวิจัยในผู้ชาย 7 คน อายุ 57- 83 ปี ที่มีปัญหาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศร่วมกับโรคเบาหวาน ผลปรากฏว่าส่วนใหญ่นั้นกลับมามีการแข็งตัวของอวัยวะเพศในตอนเช้าได้ภายใน 1 เดือนหลังจากฉีด และยังคงอยู่มากกว่า 6 เดือน อีกทั้งยังได้รับผลพลอยได้ก็คือระดับน้ำตาลในเลือดลดลงหลังจากการฉีด 2 สัปดาห์ ซึ่งแสดงว่าการรักษาด้วย Stem Cell จากสายสะดือนั้นสามารถช่วยทั้งเรื่องภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศและเบาหวานอีกด้วย [57]
งานวิจัยที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือ การวิจัยในปี 2016 เป็นการวิจัยเฟส1 โดยเปรียบเทียบการใช้ Stem Cell จากไขกระดูกในคนไข้ที่มีปัญหาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศซึ่งเคยได้รับการผ่าตัดต่อมลูกหมากมาก่อน [58] โดยให้ในจำนวนที่แตกต่างกัน แบ่งคนไข้เป็น 4 กลุ่ม และให้ Stem Cell จำนวน 20 ล้านเซลล์ 200 ล้านเซลล์ 1,000 ล้านเซลล์ และ2,000 ล้านเซลล์ ปรากฏว่าการรักษาได้ผลดี ปราศจากผลข้างเคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนซึ่งได้รับ Stem Cell ปริมาณสูงสุด โดยติดตามผลเป็นระยะเวลา 6 เดือน และงานวิจัยต่อมาในเฟสที่2 ก็สรุปว่าจำนวน Stem Cell ที่พอเหมาะก็คือ 1,000 ล้านเซลล์ [59]
มีการรีวิวงานวิจัยที่เกี่ยวกับการใช้ Stem Cell ในการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ [60] โดยรวบรวมงานวิจัย 5 ชิ้น คนไข้ทั้งหมด 61 ราย ทั้งในเฟส1และ2 มีการติดตามผลตั้งแต่ 6 เดือนถึง 62 เดือน โดยผลสรุปว่าการใช้ Stem Cell ได้ผลดีในการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ และไม่มีผลข้างเคียง จึงเป็นวิธีการรักษาที่มีศักยภาพในการนำมาใช้